2 | Khun T
มิถุนายน 22, 2006 ที่ 9:32 pm

ปกติราคาวอร์แรนท์ก็ควรเท่ากับ ราคาแม่อนาคต ลบด้วย ราคาแปลงสภาพ บวกด้วย ดอกเบี้ยของส่วนต่างระหว่างตัวแม่กับตัววอร์แรนท์ ลบด้วย ปันผลอนาคต

อันนี้เป็นหลักพื้นฐาน ที่ทำให้วอร์แรนท์ที่เหลืออายุมากๆก็จะมีพรีเมี่ยม หรือเมื่อนำราคาวอร์แรนท์บวกด้วยราคาแปลงสภาพแล้วมีราคาสูงกว่าราคาตัวแม่ ส่วนที่สูงกว่าก็เรียกว่าพรีเมียม ถ้าต่ำกว่าก็เรียกว่าดิสเคานท์

ถ้าเอาตามหลักการลึกๆวันหน้าอาจจะเขียนรายละเอียดได้ รวมทั้งวิธีการหามูลค่าของวอร์แรนท์ที่พวกนักการเงินใช้กัน

10 | Khun T
สิงหาคม 24, 2006 ที่ 12:36 am

ขอบคุณคุณ Inter ที่ติดตาม มีอะไรก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะครับ ผมก็เขียนอยู่ในกรอบความรู้เท่าที่ผมมี ยังถือว่าเรียนรู้เรื่องราวต่างๆอยู่เหมือนกัน

12 | Khun T
กันยายน 20, 2006 ที่ 4:25 pm

สวัสดีครับ ขอบคุณที่แวะมา

14 | Khun T
ตุลาคม 29, 2006 ที่ 4:21 pm

คุณวัน ผมไม่แน่ใจว่าคำว่าที่เป็นอยู่ปัจจุบันก็ยังติดลบนี่แปลว่าอะไรนะครับ

มีเงินได้ พอใช้จ่าย เหลือเงินเก็บ แต่ยังมีหนี้

หรือ มีเงินได้ ไม่พอใช้จ่าย และแน่นอน ต้องมีหนี้แน่ๆ

ถ้าเป็นกรณีแรก แล้วหนี้ที่มีเป็นหนี้ผ่อนบ้าน ก็ไม่น่าห่วงครับ เพราะทุกคนที่ไม่ได้มีฐานะจากทางบ้านที่ดีอยู่แล้ว ก็ต้องเป็นอย่างนี้แน่ๆ สิ่งที่อาจเป็นข้อกังวลอาจเป็นแค่สองข้อใหญ่ๆ หนึ่งคือ กังวลเรื่องรายได้ในอนาคตว่าจะยังดีอยู่หรือไม่ ข้อสองเป็นความอยาก อย่างเมื่อไหร่จะสบายกว่านี้ อย่างที่คุณวันทำอยู่ก็เป็นแนวทางที่น่าจะเป็นอยู่แล้ว

แต่ถ้าเป็นกรณีที่สองนี่ ชีวิตคงจะลำบากน่าดู เพราะต้องทำสองข้างพร้อมกัน หาทางลดรายจ่าย พร้อมๆกับหารายได้เพิ่ม

ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหน น่าจะลองจดบันทึกรายรับรายจ่ายทุกวัน ถ้าทำได้ตลอดไปก็คงดี ถ้าไม่ไหวลองทำซักสามเดือน จะได้รู้ว่าเราใช้จ่ายอะไรออกไปบ้าง

อีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเล่นหุ้น ผมแนะนำสำหรับคนสองกลุ่ม

กลุ่มแรกที่ไม่มีความรู้ทางด้านบัญชี ธุรกิจ

-. ลงทุนในหุ้นผ่านทาง RMF และ LTF เพราะจะได้สิทธิทางภาษี ให้ลงทุนให้เต็มเพดานหรือเป็นสัดส่วนใหญ่

-. ลงทุนผ่านกองทุนรวมในหุ้น อาจจะเป็นพวกกองทุนดัชนี ที่มีปันผล

-. ลงทุนโดยเลือกเฉพาะผู้นำธุรกิจ วิธีการข้อนี้ก็คือ เลือกลงทุนในหุ้น ๕ ถึง ๑๐ ตัว โดยแยกเป็นแต่ละอุตสาหกรรม และในแต่ละอุตสาหกรรม ก็เลือกเฉพาะผู้นำธุรกิจเบอร์หนึ่งของอุตสาหกรรมนั้นๆ อย่าง อุตสาหกรรมธนาคาร ก็เลือกธนาคารกรุงเทพ อย่างวัศดุก่อสร้างก็เลือกปูนซิเมนต์ไทย ทำนองนี้ โดยอาจจะทยอยซื้อเป็นส่วนๆหลายๆครั้งต่อปี แต่ต้องทำต่อเนื่องทุกปี

ข้อนี้ตำราฝรั่งในตลาดหุ้นฝรั่งใช้ได้ผลดี ในเมืองไทย ไม่มีคนศึกษาอย่างจริงจังเลยยังไม่เห็นข้อมูล เรื่องนี้เคยพูดไปครั้งหนึ่งในบทความต้นไม้เงิน

สำหรับอีกกลุ่มหนึ่งนี่ต้องถือว่า เป็นกลุ่มที่จะเข้าลงทุนอย่างจริงจัง
-. ต้องรู้บัญชี ข้อนี้สำคัญมาก ดูบัญชีเป็น เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่งตัวเลขในบัญชีต่างๆกับบัญชีอื่นๆ และความสัมพันธ์ระหว่างบัญชีกับคุณภาพของกิจการ อย่างกำไรนี้มีคุณภาพมั้ย มีการซ่อนค่าใช้จ่ายในรอบนี้เพื่อทำให้กำไรดีขึ้นหรือเปล่า ถ้าไม่รู้บัญชีเลย ผมว่ายากเกินที่จะประสบความสำเร็จ ในแง่ความรู้ความเข้าใจบัญชีนี่ ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าถึงวิธีลงบัญชี อย่างพวกเครดิตเดบิต ถ้ารู้ก็ดี แต่ต้องเข้าใจรู้ถึงความหมายของตัวเลขและภาพรวม
-. รู้วิธีประเมินมูลค่ากิจการในรูปแบบต่างๆ Discount Cashflow, Gordon Model อะไรทำนองนั้น เพื่อที่จะมีกรอบใหญ่ๆว่าราคาหุ้นนั้นถูกหรือแพง เมื่อเทียบกับกรอบการประเมินมูลค่าหุ้น
-. ควรเข้าใจธุรกิจว่ามีจุดอ่อนจุดแข็งตรงไหน การตัดสินของผู้บริหารข้อไหนช่วยทำให้ธุรกิจดีขึ้นในระยะยาว ข้อไหนที่ไม่น่าทำ พวกนี้จะช่วยทำให้เราคาดการณ์อนาคตกิจการได้ดีขึ้น ผิดหรือถูก ชึ้นอยู่กับปัจจัยตัวเราเองว่ามีความรู้ความเข้าใจจริงหรือไม่ และปัจจัยอนาคตว่าจะเกิดขึ้นตามนั้นหรือมีอะไรอย่างอื่นที่เกิดขึ้นมาทำให้เรื่องไม่เป็นไปอย่างที่ควร

กลุ่มที่สองนี่ค่อนข้างยาก ผมเขียนเสร็จ นั่งอ่านเอง ยังรู้สึกว่ายากไปหน่อย ตัวผมเองก็ใช้ผสมทั้งสองแบบ

มีข้อหนึ่งที่อยากให้หลีกเลี่ยงสำหรับคนเล่นหุ้นทั่วไป คือ อย่าเล่นตามข่าวลือ และอย่าเล่นแบบเทรดดิ้ง ผมแนะนำให้ลองดูก็ได้ แต่โดยรวมๆผมไม่เชื่อว่าคนเล่นหุ้นแบบทั่วไป ที่ไม่ใช่คนเล่นหุ้นแบบอาชีพ สามารถทำให้ประสบความสำเร็จได้

ลองอ่าน เลือกกติกาเองในสนามตลาดหุ้น  และ ข้อปฏิบัติของเทรดเดอร์ เพื่อจะเห็นว่าผมแบ่งเกมส์การเล่นหุ้นแบบไหนบ้าง

ทั้งการลงทุนแบบเข้าใจมีความรู้ทางบัญชีการเงินธุรกิจและการเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ ต้องใช้เวลาความทุ่มเทและการพัฒนาตัวเองอย่างมาก ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

ผลตอบแทนที่ควรคาดหวังก็อยู่ที่ประมาณร้อยละ ๑๕ ต่อเนื่องในระยะยาวนี่ก็ถือว่าเก่งมากมากเลย

ถ้าหากคาดหวังอยากรวยเร็วชนิดทบต้นในสองปี หรือสิบเท่าในห้าปี ผมไม่มีคำตอบให้ครับ เพราะทุกวันนี้ก็ยังมองหาอยู่ ถ้าใครรู้ก็บอกด้วยนะครับ

18 | Khun T
มกราคม 12, 2007 ที่ 12:57 am

คุณ golfee อันดับแรกซื้อกองทุนรวมแบบไหนก่อน ถ้าแบ่งตามนโยบายการลงทุน
กองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น
กองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว
กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น
กองทุนรวมที่ลงทุนแบบผสมผสาน

แล้วก็ยังมีการแบ่งกลุ่มตามสิทธิประโยชน์ทางภาษี
กองทุนรวมทั่วไปที่หักลดหย่อนทางภาษีได้
กองทุนรวมที่หักลดหย่อนทางภาษีได้ ซึ่งมีอีก สองอย่างคือ
LTF
RMF

ถ้าสนใจกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น อยากให้สนใจ กองทุน LTF กับกองทุน RMF ที่ลงทุนในหุ้นก่อน เพราะจะได้การลดหย่อนภาษีรายได้ของเราด้วย

ส่วนเรื่องซื้อกับที่ไหนนี่ มันก็จะมีประเด็นสำคัญๆ ในเรื่อง
ฝีมือผู้บริหารกองทุนหรือผลตอบแทนที่ทำได้ของกองทุน เมื่อเทียบกับกองทุนของบริษัทอื่นที่มีนโยบายการลงทุนเหมือนกัน
ความสะดวกในการซื้อการขาย บางที่อาจซื้อขายได้ที่ธนาคารใกล้บ้าน บางที่อาจให้ซื้อขายได้ทาง ATM หรือ ทางอินเตอร์เน็ต
ค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนในแต่ละที่ในนโยบายการลงทุนแบบเดียวกัน พวกกองทุนรวมจะเขียนบอกไว้ในหนังสือชี้ชวน

เรื่องการเปรียบเทียบฝีมือผู้บริหารกองทุน ส่วนใหญ่แบบง่ายๆก็ดูว่าผลตอบแทนใครทำสูงต่ำกว่ากัน เมื่อมีนโยบายการลงทุนแบบเดียวกัน อันนี้ต้องใช้เวลาทำหรือหาข้อมูลพอสมควร มีเวบหนึ่งที่ http://www.thaimutualfund.com ที่มีการรวบรวมข้อมูลไว้ แต่ผมไม่แน่ใจเรื่องความทันสมัยและความถูกต้องของข้อมูล อย่างไรก็ตามเนื้อหานี่ใช้ได้เลย

อีกแหล่งข้อมูล ผมเข้าใจว่านิตยสาร M&W จะทำรายงานเปรียบเทียบผลตอบแทนของแต่ละกองทุนเรื่อยๆ ลองแวะไปใช้บริการห้องสมุดมารวย ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยดู

ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่าไม่ได้ถือว่ารู้เรื่องกองทุนรวมมากเท่าไหร่ เริ่มลงทุนกับกองทุนรวมครั้งแรกประมาณ ๔ ปีที่แล้ว ตอนที่มีกองทุน RMF ปีแรกเลย

ช่วงนั้นเปิดขายแค่ ๓ แห่งเองมั้ง แล้วก็ประกาศช่วงกลางเดือนธันวาคมมีเวลาซื้อแค่ ๒ สัปดาห์ เพื่อเอาผลประโยชน์ทางภาษี ตอนนั้นเลือกซื้อด้วยเหตุผลเดียวคือความสะดวก

อันนี้ก็เล่าสู่กันฟังในช่วงปี ๔๘ กองทุน Aberdeen นี่ทำผลตอบแทนได้ดีมากเป็นอันดับหนึ่งเลยมั่ง ผมจำตัวเลขไม่ได้ แต่ถือว่าทิ้งอันดับสองค่อนข้างเยอะ ในอดีตที่ผมเคยเห็นผลตอบแทนการลงทุนของแต่ละที่จะหนีกันไม่มาก ร้อยละ ๑-๒ แล้วในช่วงปี ๔๙ ที่ผ่านมา ทางผู้จัดการกองทุนที่เคยอยู่ที่ Aberdeen ย้ายไปทำงานที่ AYJ เข้าใจว่าเปลี่ยนชื่อจาก AJF ในอดีต ตอนนี้ถ้าถามคนที่พอรู้เรื่องกองทุนรวมว่าใครเก่งก็มักมีสองชื่อนี้ติดอันดับ แต่ประวัติผลดำเนินงานมันสั้นมากแค่ปีเดียว ก็เลยไม่รู้ว่าเก่งกว่ามากๆหรือมีโชคดีเข้ามาช่วยด้วย

เมื่อประมาณกลางปีที่ผ่านมาพอดีมีงานเกี่ยวกับกองทุนรวม แล้วมีกองทุนรวมไปออกบูธประมาณ ๖-๗ แห่งก็ดูผลตอบแทนเปรียบเทียบของแต่ละที่ก็พอๆกัน ครั้งนี้ไม่มีลักษณะที่ทิ้งห่างกันมา โดยเฉพาะสองแห่งที่กล่าวถึงนี่ก็ไม่มีความต่างอย่างมีนัยยะสำคัญ

สำหรับพวกกองทุนตราสารหนี้เพื่อนผมก็บอกว่า TMBAM ของทหารไทย มีชื่อเสียงทางด้านนี้ จริงเท็จไม่รู้ไม่เคยตรวจสอบ

สรุป คุณ golfee ลองช็อปปิ้งดูโทรไปคุยแต่ละที่ ลองถามผลดำเนินงานเปรียบเทียบ อาจถามว่าให้ช่วยเทียบผลตอบแทนของกองทุนบริษัทกับคู่แข่งอย่าง Aberdeen หรือ AYF ค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย วิธีการซื้อขาย ขั้นตอนการซื้อขาย อะไรทำนองนี้ดู

ไม่แน่ใจว่าเป็นคำตอบที่ต้องการหรือเปล่า โชคดีกับการลงทุนครับ

20 | Khun T
กุมภาพันธ์ 28, 2007 ที่ 6:26 pm

สงสัยข้อนี้ตอบไม่ได้ครับ

ความรู้เดิมที่ไม่แน่ใจว่ายังทันสมัยอยู่หรือเปล่า

หน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลบริษัทผู้ออกบัตรเครดิตมีสองที่คือ กระทรวงพาณิชย์กับธนาคารแห่งประเทศไทย

บริษัทผู้ออกบัตรที่เป็นสถาบันการเงิน อย่างธนาคารต่างๆ ทางธปท.จะเป็นผู้ดูแล ส่วนบริษัทผู้ออกบัตรที่ไม่ใช่สถาบันการเงินเป็นหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์

ได้ยินมาว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้แต่ไม่ได้ตามเลยไม่รู้ว่าปัจจุบันเป็นอย่างไร นโยบายของธปท.จะมีผลกับบริษัทผู้ออกบัตรที่ไม่ใช่สถาบันการเงินหรือเปล่า

ช่วงหลังได้ยินเรื่องนโยบายในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่บริษัทผู้ออกบัตรสามารถเรียกเก็บได้ คุณสมบัติของผู้สมัครบัตรใหม่ เช่น ต้องมีรายได้เงินเดือนไม่ต่ำกว่า… การชำระคืนเงินขั้นต่ำที่ผู้ถือบัตรต้องชำระเพิ่มขึ้น ถ้าจำไม่ผิด จากร้อยละ ๕ เป็นร้อยละ ๑๐

หวังว่าพอมีประโยชน์บ้าง

22 | Khun T
มิถุนายน 20, 2007 ที่ 5:00 pm

คุณ JB ใช้บล็อกที่ไหนอยู่ครับ ทิ้งที่อยู่ไว้ เดี๋ยวตามไปดู สาเหตุอาจมาจากหลายอย่าง ผมสมมติฐานว่า สามารถพิมพ์ได้ แต่ตอนที่ดูบทความแล้วอาจมองไม่เห็น

สาเหตุอาจมาจากตัว template ที่ใช้มีการบีบพื้นที่ระหว่างบรรทัด เลยทำให้มองไม่เห็น

หรืออาจจะเป็นปัญหาของที่ server การติดตั้ง ฯลฯ

36 | Khun T
สิงหาคม 27, 2007 ที่ 3:11 pm

คุณ muna

ไม่แน่ใจว่าเข้าใจคำถามถูกหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ก็ถามมาใหม่ก็ได้

ตลาดทุน ปกติ หมายถึง ตลาดที่สำหรับซื้อขายแลกเปลี่ยนทุน อย่างหุ้น เป็นต้น

ตลาดเงิน ปกติ หมายถึง ตลาดสำหรับการแลกเปลี่ยนระหว่าง ผู้ให้กู้ กับ ผู้กู้ ซึ่งอาจจะเป็น ธนาคาร หรือตลาดแลกเปลี่ยน (exchange) อย่างตลาดตราสารหนี้

ข้อมูลในเชิงความหมายสำหรับการเรียนการสอบ คงมีอยู่ตามหนังสือวิชาการเงินเบื้องต้นโดยทั่วไป

ผมเองไม่ค่อยได้ใส่ใจ กับความหมายในตำราเท่าไหร่ เพราะพวกนี้ใช้ในการสอบเป็นหลัก หรือจริงๆ ก็คือ จำไม่ได้แล้ว 🙂 ผิดถูกประการใด เปิดหนังสือเรียนคงมั่นใจกว่า

42 | Khun T
กันยายน 29, 2007 ที่ 10:24 pm

คุณ momo

สงสัยเอาไปทำทำรายงานหรือเปล่าครับเนี่ย

อืมม์ การลงทุนของนักลงทุนคงมีหลักต่างๆใกล้เคียงกัน ซึ่งน่าจะค้นข้อมูลไม่อยาก ตัวอย่างก็เป็นตั้งแต่ ตัวธุรกิจที่สนใจ คุณภาพของบริษัทมีประสิทธิภาพในการทำงานมั้ย มีความสามารถในการทำกำไรมากน้อยอย่างไร หรือ ราคาตลาดปัจจุบันมีความน่าสนใจแค่ไหน

แต่จุดที่ต่างกันอย่างมากระหว่างสองตลาด ก็คือ ที่เขียนไป ขนาดของบริษัท ถ้าหากนักลงทุนที่มีเงินมากๆที่จะลงทุน การจะไปซื้อหุ้นในตลาดใหม่คงทำได้ยากมาก เพราะไม่มีปริมาณหุ้นมากพอที่จะซื้อ หรือถ้ามากพอก็ยังมีปัญหาด้านราคา เพราะถ้าเกิดมีการซื้อเยอะขนาดนั้น ราคาในตลาดก็จะขยับขึ้นด้วยความรวดเร็ว ซึ่งเหตุนี้ทำให้นักลงทุนรายใหญ่ อย่างกองทุนต่างชาตินี่ อาจจะไม่อยากลงทุน

ที่เหลือก็ลองค้นหาเรื่องการลงทุนดูครับ ปัจจัยในการลงทุน หลักในการลงทุนในหุ้น แล้วมองเทียบดูว่าเมื่อขนาดของบริษัทและขนาดของตลาดเล็กลงแล้วจะมีผลต่อความเสี่ยงของนักลงทุนอย่างไร

*********

คุณ น้ำหวาน

ทุนข้ามชาติ แบบง่าย ก็คือ เงินของต่างชาติ ที่นำมาลงทุนในไทย ซึ่งก็แยกเป็น เงินทุนที่เข้าลงทุนในภาคการผลิตจริง อย่าง ตั้งโรงงาน เปิดบริษัท หรือเงินที่เข้ามาลงทุนในตลาดเงินตลาดทุน

มาตรการต่างๆ ศึกษาค้นคว้าได้ที่เวบของแบงค์ชาติ

เรื่องนิยามต่างๆ เปิดตำรา เปิดกฏหมายจะดีกว่า สิ่งที่เขียนในบล็อกนี้ อาจจะผิด อาจจะไม่ครอบคลุม

*********

เรียนอยู่ที่ไหนกันบ้าง แล้วเรียนสาขาอะไรกัน

52 | Khun T
ตุลาคม 4, 2007 ที่ 10:10 pm

ยังไม่บอกกันเลยว่าเรียนกันอยู่ที่ไหน

*********

คุณพิ้ง

ข้อหนึ่งนี่ คงไม่มีเกณฑ์มั้งครับ คงต้องลองศึกษาปรัชญาแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ของสำนักนักคิดต่างๆ

ข้อสองนี่ เมืองไทยไม่เก็บภาษีการเคลื่อนย้ายเงินทุนครับ ศึกษาเพิ่มเติมที่แบงค์ชาติกับทางบีโอไอได้ บีโอไอน่าจะให้ข้อมูลที่ละเอียดได้

*********

คุณ momo

ผมก็ไม่ทราบครับ แต่ถ้าอยากทำการศึกษา น่าจะทำได้โดยดูสองลักษณะพร้อมๆกัน

ลองดูค่า GDP โดยเฉพาะตัว I และปริมาณเงินลงทุนจากต่างประเทศ เมื่อเทียบกับช่วงปฏิวัติในแต่ละครั้ง

และดูลักษณะเปรียบเทียบระหว่างขนาดเศรษฐกิจของไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นอย่าง ไต้หวัน เกาหลีใต้ มาเลย์เซีย สิงคโปร์ และพม่า

เคยอ่านเจอว่า ในอดีตนานมากๆแล้วแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในภูมิภาคนี่ประเทศพม่าเป็นอันดับหนึ่ง ไทยเป็นอันดับสอง และในช่วงเดียวกันนั้น เกาหลีกับไทยนี่ใกล้เคียงกัน รวมถึงไต้หวันด้วย แต่วันนี้… พูดไม่ออก

เรื่องข้อมูลนี่ไม่รู้ถูกต้องจริงแค่ไหนนะครับอ่านเจอมา

ถ้าหากอยากทำการศึกษาธนาคารโลก ยูเอ็น และบรรดาสถาบันเอเซียศึกษาจองมหาวิทยาลัยต่างๆ คงมีข้อมูลพอให้ทำการศึกษาได้

54 | Khun T
ตุลาคม 7, 2007 ที่ 2:45 pm

คุณจ๋า

FTA ในภาพใหญ่เป็นการทำให้การค้าขายเป็นไปอย่างเสรี ดังนั้นจะไม่มีการเก็บภาษีศุลกากร เหมือนกับงานไม้ทีเชียงใหม่ขายให้คนที่อยู่ในกรุงเทพก็ไม่มีการเก็บภาษีศุลกากร แต่ในรายละเอียดก็ต้องไปดูสัญญาว่ากำหนดเช่นใด

58 | Khun T
ตุลาคม 10, 2007 ที่ 10:43 pm

คุณ momo

Herd mentality นี่เป็นพฤติกรรมฝูง(ชน) ที่ทำเลียนแบบกัน เห็นเพื่อนซื้อของก็ซื้อด้วย ในตลาดหุ้นก็เป็นลักษณะเดียวกัน อย่างเราจะพอสังเกตุได้ว่า ยิ่งหุ้นเพิ่มสูงขึ้นๆ จะดึงดูดให้คนเข้ามาทำการซื้อมากขึ้น ทั้งๆที่ยิ่งหุ้นปรับตัวสูงขึ้นในระยะเวลาอันสั้น ทำให้เกิดความเสี่ยงทางด้านราคาสูงขึ้น และผลตอบแทนที่คาดหวังลดลง

*********

คุณ Anonymous

สงสัยเหมือนกันครับว่า สงสัยอะไรเอ่ย

*********

คุณข้างฟาง (หรือข้าวฟ่างครับ ชื่อข้าวฟางนี่แปลกดี)

ไม่แน่ใจว่าหมายถึง การที่มีหุ้นเพียงกลุ่มเดียวที่มีปริมาณซื้อขายสูง ในขณะที่กลุ่มอื่นๆมีปริมาณน้อยมากหรือเปล่าครับ

ถ้าไม่ใช่ ลองถามใหม่ก็แล้วกัน

ถ้าใช่ ผมเข้าใจว่าตลาดไม่ได้มีมาตรการอะไรออกมาสำหรับเรื่องนี้ แต่ถ้าถามว่า มีแนวทางในการจัดการเรื่องนี้หรือไม่ จริงๆตลาดหลักทรัพย์ก็เหมือนซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ที่มีสินค้าประมาณ 600 ตัว แต่ผู้ซื้อกลับซื้อแต่สินค้าแค่กลุ่มเดียว ถ้าเราเป็นผู้บริหารซูเปอร์มาร์เก็ตนี้ เราจะทำอย่างไรดีครับ ??? ลองตอบดู

60 | Khun T
ตุลาคม 22, 2007 ที่ 5:26 pm

คุณ Pee kokkae

ถ้าเทรดยางอยู่แล้ว แนะนำให้ขอจากทางโบรกนะครับ บนเนตนี่ไม่เห็นเหมือนกัน

62 | Khun T
ตุลาคม 24, 2007 ที่ 12:12 am

คุณ momo

ลองดูที่ http://www.transparency-thailand.org/ ซึ่งคงเน้นในงานการเมืองและราชการ

สำหรับของตลาดหลักทรัพย์ ก็มีเรื่อง Corporate Governance เพื่อส่งเสริมในบรรดาบริษัทจดทะเบียน

66 | Khun T
ตุลาคม 30, 2007 ที่ 11:08 pm

คุณ Suchada

แบงค์ชาติไม่ได้เป็นคนกำหนดอัตราค่าจ้างรายงานขั้นต่ำครับ มีองค์กรร่วมสามฝ่ายกับกระทรวงแรงงานที่กำหนดเรื่องนี้

ส่วนเรื่องอัตราดอกเบี้ย แบบง่ายๆก็คือการลดอัตราดอกเบี้ย ก็ทำให้คนบริโภคมากขึ้น เพราะราคาถูกลง ลองคิดถึงซื้อรถผ่อน 5% กับ 3% พอดอกเบี้ยลดด็ทำให้ค่าผ่อนลดลง เพิ่มโอกาสให้คนซื้อง่ายขึ้น และนักลงทุนเองก็อยากลงทุนเพิ่มขึ้น เพราะต้นทุนลดลง ในทางกลับกัน ถ้าหากดอกเบี้ยเพิ่มคนก็บริโภคน้อยลง และนักลงทุนก็ต้องคิดมากขึ้นในการลงทุน

ถ้าแบบยากๆ ก็มีอีกมาก อย่างเรื่อง ความสัมพันธ์กับ เงินเฟ้อ ปริมาณเงิน อัตราแลกเปลี่ยน และที่ยากมากขึ้นก็คือ การขึ้นลงแต่ละครั้งต้องดูสถานการณ์ในตอนนั้นๆด้วย บางครั้งดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ทำให้คนเชื่อว่าเศรษฐกิจดีขึ้นเป็นเสมือนการยืนยันจากธนาคารกลาง ซึ่งทำให้คนยิ่งลงทุนเพิ่ม ใช้จ่ายมากขึ้น เพราะมั่นใจในอนาคต

68 | Khun T
พฤษภาคม 5, 2008 ที่ 1:40 pm

คุณ d_fotty

ขอบคุณครับ เรื่องที่ถามมาเมืองไทยยังไม่มีตลาดสำหรับเทรดอัตราแลกเปลี่ยนที่เปิดให้คนทั่วไปเข้าไปซื้อขายได้ครับ เว้นแต่บางคนนำเงินออกนอกประเทศเองแล้วไปเปิดบัญชีที่ต่างประเทศ แต่ตอนนี้การขอนำเงินออกเพื่อการนี้น่าจะไม่ได้รับอนุญาตครับ

70 | Khun T
พฤษภาคม 14, 2008 ที่ 10:16 am

คุณ d_fotty

เรื่อง fed ลดดอกเบี้ย แล้วเงินดอลแข็งขึ้น พอดีผมจำไม่ได้ว่า ดอลแข็งขึ้นวันที่ fed ประกาศลดดอกเบี้ยหรือเปล่า แต่เรื่องเงินดอลแข็งขึ้นน่าจะมีสาเหตุมาจากการเชื่อว่า fed คงไม่ลดดอกเบี้ยลงอีก เพราะสภาวะภาพรวมเศรษฐกิจอเมริกาไม่แย่ไปกว่าที่คิด บวกกับข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาที่ดีกว่าที่คาด แย่ลงแต่ไม่แย่อย่างที่คิด แต่เดี๋ยวนี้ระบบเศรษฐกิจมันซับซ้อนมากขึ้น และตลาดมีความไวมากขึ้น ทำให้การความเข้าใจเศรษฐกิจแบบพื้นฐานชนิดถ้าตัวนี้เปลี่ยนจะทำใก้อีกตัวเป็นไปในทิศทางอย่างนี้นั้น อาจจะไม่มีผลในเชิงปฏิบัติ

ตลาดเงิน คือแหล่งระดมเงินระยะสั้นน้อยกว่าหนึ่งปี ซึ่งสินค้าก็อาจเป็นพวก BE PN
ตลาดทุน คือแหล่งระดมเงินทุนระยะยาวมากกว่าหนึ่งปี สินค้าก็จะเป็นพวกหุ้น หุ้นกู้
ทั้งสองตลาดนี้เป็นคำเรียกรวมๆ ในขณะที่ตลาดหุ้นจะเป็นตลาดที่ทำการแลกเปลี่ยนหุ้นจริงๆ

ถามมาได้ครับ ตอบได้เท่าที่พอมีความรู้อยู่บ้าง

72 | Khun T
มิถุนายน 26, 2008 ที่ 9:07 pm

คุณบ๋อม

ไม่รู้ว่าอยากได้อะไรแน่ ถ้าตอบผิดก็แจ้งมาอีกที

ถ้าอยากรู้ว่าบริษัทไหนมียอดขายสูงสุด สามารถขอข้อมูลได้ที่กระทรวงพาณิชย์ ข้อมูลอาจย้อนหลังหน่อย เพราะเป็นข้อมูลที่บริษัทต่างๆทุกบริษัทต้องนำส่งทุกปี

ถ้าหากเป็นว่าหุ้นไหนมียอดซื้อขายสูงสุด ก็ไปหาได้ที่เวบตลาดหลักทรัพย์ในส่วนสถิติ ถ้าหากข้อมูลไม่ครบหรือไม่ตรงกับที่ต้องการก็สามารถขอได้กับทางเจ้าหน้าที่

84 | Khun T
ธันวาคม 22, 2008 ที่ 4:37 pm

คุณจันทนา

หนังสือเกี่ยวกับเรื่องความคิดเชิงบวกมีมากเลย ทั้งไทยเขียนหรือไทยแปล

เรื่องนี้คงต้องหาวิธีที่ถูกจริตของเรา เพราะเป็นเรื่องที่ไม่มีสูตรสำเร็จ เป็นแค่หลักการใหญ่ๆ ทำยังไงจิตใจเราจะดี คิดดีต่อผู้อื่น คิดดีต่อตัวเรา อย่างหลัก 3C ที่เคยเขียนไว้ ก็เป็นการเพิ่มส่วนบวก และลดส่วนลบ คิดดี แล้วมุ่งมั่นทำดี จะได้ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องร้าย แล้วก็ออกไปหาสิ่งแปลกใหม่ให้ชีวิต เพิ่มประสบการณ์ใหม่ๆ

ถ้ามีใครที่รู้เรื่องหรืออยากแลกเปลี่ยนแบ่งปันก็เชิญได้เลยนะครับ

86 | Khun T
มกราคม 29, 2009 ที่ 7:53 pm

คุณลีเอ็ม

แว่บแรกของคำตอบ เขาคงดูนามสกุลมั้ง เป็นความคิดที่ไม่ดีเลย 😦

ว่าไปแล้ว ผมไม่รู้ว่าเกณฑ์มาตรฐานเขากำหนดอะไรบ้าง อย่างเช่น เกรดเฉลี่ยหรืออะไรพวกนั้น

แต่ถ้าหากผมอยากเข้าไปทำงานที่ไหน ผมคงเริ่มจากว่าทำไมเราอยากไปทำงานที่นั่น แต่ไม่ใช่เรื่องเงินเรื่องผลประโยชน์นะ แต่เป็นว่าอะไรที่ทำให้เรา passsion หรือลุ่มหลงในองค์กรนั้นๆ การเข้าไปเราจะทำอะไรได้บ้าง ซึ่งแน่นอนเราก็คงต้องรู้จักองค์กรนั้นๆก่อน อย่างแบงค์ชาติมีหน้าที่อะไร ซึ่งคำถามที่เราต้องถามตัวเองให้ลึกซึ้งก็คือ เราจะมุ่งทางไหน เราก็จะหยิบยกเรื่องต่างๆที่เราสนใจมาเล่า อย่างเรื่องการเงิน เราก็คงต้องรู้ว่าตัวเลขต่างๆของระบบการเงินเป็นอย่างไร รวมถึงคำถามยากๆอย่าง ประเทศไทยควรให้มีการใช้เช็คให้แพร่หลายอย่างอเมริกาหรือไม่ ที่โน่นซื้อของซุปเปอร์มาร์เก็ตมูลค่าสิบยี่สิบเหรียญก็จ่ายเป็นเช็ค หรืออย่างการทำเหรียญสองบาทเป็นสิ่งที่ดีหรือเหมาะสมหรือไม่ คำตอบก็คงต้องแสดงถึงความคิด ความรู้ และข้อมูล

อีกทางถ้าหากเรียนเก่งมากๆ ผมเข้าใจว่าทุกวันนี้แบงค์ชาติยังมีทุนกาศึกษาอยู่ สอบชิงทุนได้ ก็ได้เรียนต่อฟรี จบแล้วก็ได้ทำงานที่แบงค์ชาติแน่ๆ

ผมเองคงให้ความกระจ่างเหล่านี้ไม่ดีแน่ น่าจะลองอีกทางก็รวบรวมเพื่อนๆในสาขา ติดต่ออาจารย์ ให้ช่วยทำจดหมายขอเยี่ยมชมแบงค์ชาติ ถ้าได้ไป ก็สามารถถามคนที่นั่นได้โดยตรง

หวังว่าคงสมประสงค์สมหวังกับสิ่งที่หวังนะครับ

88 | Khun T
มีนาคม 2, 2009 ที่ 2:17 pm

คุณ bow

ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะมีกฏระเบียบมาบังคับหรือเปล่า

ถ้าไม่มีก็คงเป็นเหตุผลว่า การมีคนกลางอย่างธนาคารต่างๆ จะช่วยในการกระจายข้อมูล อำนวยความสะดวก การ process (การทำธุรกรรม) ให้เกิดสะดวกและรวดเร็วขึ้น อีกทั้งอาจจะประหยัดกว่าที่ทางบริษัททำเอง เพราะบริษัทต่างๆอาจไม่มีบุคคลากรและเครื่องไม้เครื่องมือในการรองรับงานนี้ เพราะ ธุรกิจของบริษัทผู้ออก ก็ไม่ได้ทำเรื่องอย่างนี้

อีกข้อก็คือ อาจเป็นไปได้ว่า ไม่มีใครทำมาก่อน เหมือนเวลาเปิดปิดธนาคาร ที่เดี๋ยวนี้เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วที่ธนาคารเปิดเสาร์อาทิตย์ และนอกเวลาทำการปกติของธนาคาร วันหนึ่งข้างหน้าเราอาจจะเห็นก็ได้

98 | Khun T
สิงหาคม 13, 2009 ที่ 3:10 pm

คุณ vorraset,

ส่งรายการชื่อหนังสือมาด้วยซิครับ